
man united
Team of the 70’s
ห้วงเวลาที่วงการฟุตบอล ไม่ว่าช่วงไหนก็ยังคงเป็นกีฬาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ชื่อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรที่ถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ปีศาจแดงเคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาไม่น้อย โดยเฉพาะ ตำนานแมนยูยุค 70 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สโมสรกำลังหาทางกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
บทความนี้ขออาสาพาคุณย้อนรอยไปกับทีมช่วงเวลายุค 70 ที่ไม่เคยถูกเล่าขานในหน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ แต่มีส่วนสำคัญในการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับสโมสรช่วงยุค 90-2000’s นี่คือเรื่องราวของเหล่านักสู้ นักเตะแมนยูยุคเก่า อีกมากมายที่รอการเปิดเผย ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนผีต้องรู้หน่อย ตามไปดูเลย
ย้อนรอยความรุ่งโรจน์จากยุค 70s ที่ไม่เคยเลือนหาย
หากใครที่ได้ชมการแข่งขันของ นักเตะแมนยูยุคเก่า จะต้องเห็นถึงความดุดันและแข็งแกร่งของผู้เล่นที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานและผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาอย่างโชกโชน ผู้เล่นเหล่านี้คือคนสำคัญที่ทำให้ทีมปีศาจแดงสามารถยืนหยัดและต่อสู้ในลีกที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมได้ในช่วงเวลาดังกล่าว และนี่คือ 3 คีย์แมนสำคัญที่ไม่ว่าชื่อไหน แฟนผีต้องเคยได้ยินพร้อมกับคำว่า “ตำนาน”
1. บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Bobby Charlton)
แม้จะเริ่มสร้างชื่อเสียงตั้งแต่ยุค 60 แต่ในช่วงต้นยุค 70 เขายังเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของแมนยู และทำหน้าที่เป็น “ผู้นำเชิงสัญลักษณ์” ของทีมหลังยุคโศกนาฏกรรมมิวนิก ความเป็นมืออาชีพและความจงรักภักดีทำให้เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในตำนานสูงสุดของสโมสร
2. จอร์จ เบสต์ (George Best)
ปีกพรสวรรค์ที่ถูกขนานนามว่า “ราชาแห่งดริบเบิล” เบสต์เป็นหนึ่งในนักเตะที่สร้างสีสันและความตื่นตาในยุค 70 ด้วยทักษะการเลี้ยงบอลและสไตล์การเล่นที่แฟนบอลไม่เคยเห็นมาก่อน เขาถือเป็นนักเตะที่ยกระดับความนิยมของแมนยูให้โด่งดังไปทั่วโลก แม้ชีวิตนอกสนามจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่ในสนามเขาคือขวัญใจตลอดกาล และน่ามองเสมอเมื่อลูกบอลอยู่ในเท้าของเขา
3. ไบรอัน ร็อบสัน (Bryan Robson)
เข้าสู่ทีมช่วงปลายทศวรรษ 70 และกลายเป็น “กัปตันมาร์เวล” ในยุค 80 ร็อบสันคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความทุ่มเท เขานำพลัง ความดุดัน และความเป็นผู้นำเข้ามาสู่ทีม ทำให้แมนยูมีโครงสร้างแข็งแรงที่จะต่อยอดสู่ความสำเร็จในทศวรรษต่อมา

ทั้งสามคนนี้จึงเป็นเสาหลักที่สลักชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะ ตำนานแมนยูยุค 70 ที่โลกฟุตบอลไม่มีวันลืม และยังเปิดทางให้เราย้อนมองไปถึง อัญมณีที่ถูกลืมในหน้าประวัติศาสตร์ปีศาจแดง: จากยุคเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง
อัญมณีที่ถูกลืมแห่งปีศาจแดง
แม้ชื่อเสียงของตำนานอย่างบ็อบบี้ ชาร์ลตัน หรือจอร์จ เบสต์ จะถูกจารึกไว้ชัดเจน แต่ในยุค 70 ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรากฐานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก อาจเพราะถูกกลบด้วยแสงของซูเปอร์สตาร์หรือเพราะทีมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ตาม นักเตะเหล่านี้คือ “อัญมณีที่ถูกลืม” ที่ช่วยผลักดันสโมสรให้ยืนหยัดสู่วันรุ่งเรืองกลับมาอีกครั้ง
ฮูสตัน, ฮิลตัน และนักเตะที่แฟนบอลลืมชื่อ
ช่วงทศวรรษ 70 แมนยูไนเต็ดอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน หลังจากยุคทองของชาร์ลตันและเบสต์สิ้นสุดลง ทีมต้องเผชิญทั้งปัญหาผลงานฟอร์มการเล่นตกต่ำและขาดเสถียรภาพ นักเตะอย่าง จิมมี่ ฮูสตัน (Jimmy Houston) และ เดวิด ฮิลตัน (David Hilton) ไม่ใช่ชื่อที่ถูกจดจำเหมือนตำนานรุ่นใหญ่ แต่พวกเขาคือแข้งที่คอยประคับประคองทีมในวันที่ขาดซูเปอร์สตาร์ มุ่งมั่นลงเล่นด้วยหัวใจมากกว่าชื่อเสียงที่มี แม้ไม่ได้มีประตูสวย ๆ หรือสถิติโดดเด่นจนสปอร์ตไลท์ต้องจับ แต่สิ่งที่พวกเขามอบให้คือ ความทุ่มเทในการรักษาโครงสร้างของทีมไม่ให้พังลง
พวกเขาอาจไม่ถูกพูดถึงนักในสื่อหน้าประวัติศาสตร์ เพราะแฟนบอลมักเลือกจดจำเพียงช่วงเวลาความสำเร็จของทีม แต่แท้จริง พวกเขาคือฟันเฟืองแมนยูให้ได้ยืนหยัดในลีกสูงสุด จนสร้างแรงบันดาลใจให้นักเตะในยุคถัด ๆ ไป หากไม่มีการต่อสู้ของคนเหล่านี้ สโมสรอาจไม่สามารถรักษาตัวตนไว้ได้ในยุคที่ฟุตบอลอังกฤษกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

บทบาทของนักเตะท้องถิ่นที่ไม่เคยโด่งดัง
ยุค 70 ในวันที่แมนยูไม่มีจอร์จ เบสต์ หรือบ็อบบี้ ชาร์ลตันเป็นตัวชูให้ทีม สโมสรยังคงเดินหน้าได้ด้วยแรงของนักเตะพื้นบ้านหลายรายที่อาจไม่เคยถูกยกขึ้นพาดหัวข่าว เช่น สจ๊วร์ต ฮิวสตัน ฟูลแบ็กชาวสกอตที่เล่นอย่างแข็งแกร่งและซื่อสัตย์กับทีมยาวนานเกือบ 10 ปี เขาอาจไม่ใช่ผู้เล่นที่มีเทคนิคหวือหวา แต่ความมั่นคงในเกมรับทำให้แมนยูยังคงรักษาสถานะทีมระดับสูงได้ในวันที่ขาดซูเปอร์สตาร์
อีกหนึ่งชื่อคือ แซมมี่ แมคอิลรอย มิดฟิลด์ไอร์แลนด์เหนือที่ถูกยกให้เป็น “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของแมตต์ บัสบี้” เขาเข้ามาเติมพลังให้ทีมในช่วงเวลาที่สโมสรต้องการความหวังใหม่ แม้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงบ่อยเหมือนนักเตะชื่อดัง แต่แมคอิลรอยคือสัญลักษณ์ของความขยัน ความทุ่มเท และความภาคภูมิใจในเสื้อปีศาจแดง ซึ่งช่วยเชื่อมช่วงเวลายากลำบากของทีมไปสู่ยุครุ่งเรืองในทศวรรษถัดมา
นอกจากนี้ยังมีทั้ง อเล็กซ์ สเต็ปนีย์ (Alex Stepney) นายประตูที่ยืนหยัดเป็นกำแพงด่านสุดท้ายยาวนานเกือบทั้งทศวรรษ, กอร์ดอน ฮิลล์ (Gordon Hill) ปีกซ้ายที่สร้างสีสันและเพิ่มความอันตรายในเกมรุก, และ ลู แม็คคารี (Lou Macari) กองกลางชาวสกอตที่ทุ่มเทจนกลายเป็นแกนหลักของทีมตลอดหลายฤดูกาล นักเตะเหล่านี้อาจไม่ใช่ “ตำนานในหน้าหนังสือพิมพ์” แต่พวกเขาคือ ตำนานแมนยูยุค 70 ที่ซื่อสัตย์และเป็นฟันเฟืองสำคัญในวันที่ทีมยังไม่พบแสงสว่างแห่งความรุ่งเรือง

ทำไมแมนยูถึงหล่นจากบัลลังก์ในทศวรรษ 70
หลังจากคว้า ยูโรเปี้ยนคัพ 1968 ที่กลายเป็นจุดสูงสุดของสโมสรในยุคของแมตต์ บัสบี้ หลายคนคาดหวังว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม ยุค 70 คือทศวรรษแห่งความผันผวนและเต็มไปด้วยรอยแผล สโมสรเผชิญทั้งการขาดเสถียรภาพ การโรยราของนักเตะยุคทอง และการบริหารที่ไม่มั่นคง ทุกปัจจัยรวมกันทำให้ทีมที่เคยเป็นยอดแชมป์ยุโรป เปลี่ยนเป็นล้มลุกคลุกคลานจนถึงขั้นตกชั้นเมื่อปี 1974
แมนยูตกชั้นเมื่อไร?
หลังจากแมตต์ บัสบี้ ตัดสินใจวางมือในปี 1969 ก็เหมือนปีศาจแดงโดนถอด “เสาหลัก” ออกไปทันที สโมสรเข้าสู่ภาวะไร้ทิศทาง เปลี่ยนกุนซือรัว ๆ แต่ไม่มีใครมีบารมีพอจะกอบกู้สถานการณ์ได้ นักเตะยุคทองอย่างชาร์ลตันเริ่มโรยรา ส่วนจอร์จ เบสต์ที่ควรเป็นซูเปอร์สตาร์นำทีมกลับกลายเป็นปัญหานอกสนามมากกว่าในสนาม สุรากับปาร์ตี้ทำให้เขาเงียบหายไปทีละนิด เหมือนเพชรที่ถูกขัดจนหม่น ทีมจึงไร้ “เดอะแบก” ที่ไว้ใจได้ในเวลาที่ต้องการ

และเมื่อเสาหลักหาย ดาวรุ่งไม่ขึ้น ระบบทีมเป๋ ๆ แมนยูก็เจอกับฝันร้ายที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น ปี 1974 ปีศาจแดงตกชั้นลงดิวิชัน 2 มันคือแผลเป็นที่ตราตรึงแฟนบอล แม้จะใช้เวลาแค่ปีเดียวก็เลื่อนชั้นกลับมา แต่ชื่อเสียงของแมนยูในยุค 70 ถูกจดจำว่าเป็นยุคแห่งความร่วงโรยอย่างแท้จริง จากทีมที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปกลับต้องกลายเป็นทีมที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อลีกสูงสุดของประเทศ
ยุค 80 จุดประกายความยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมา
หลังจากความผันผวนของทีมช่วงทศวรรษ 70 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเข้าสู่ยุค 80 ด้วยความหวังครั้งใหม่ บรรยากาศในทีมเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่โครงสร้างผู้เล่นและความศรัทธาของแฟนบอลที่ค่อย ๆ กลับคืนมา แม้ทศวรรษนี้ไม่ได้มีแชมป์ล้นมือ แต่คือช่วงเวลาแห่ง “รากฐานความสำเร็จ” ของความยิ่งใหญ่ในอนาคตถูกวางไว้อย่างมั่นคง ทุกองค์ประกอบเริ่มถูกประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งนักเตะสายเลือดใหม่ ดาวดังที่เข้ามาเสริม และแฟนบอลที่เริ่มเชื่อมั่นว่าแสงสว่างปลายอุโมงค์กำลังจะมาถึง
การมาของร็อบสัน กัปตันมาร์เวล
ปี 1981 แมนยูทุ่มเงินสถิติอังกฤษในเวลานั้นเพื่อคว้าตัว ไบรอัน ร็อบสัน มาจากเวสต์บรอมวิช อัลเบียน นี่ไม่ใช่แค่การซื้อนักเตะ แต่คือการลงทุนใน “หัวใจใหม่ของทีม” ร็อบสันได้รับฉายา “กัปตันมาร์เวล” เพราะพลังการเล่นที่ไม่มีหมด ไล่บี้คู่แข่งตั้งแต่นาทีแรกจนสิ้นเสียงนกหวีด และมีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ
- ร็อบสันคุมแดนกลางแบบไม่เกรงใจใคร วิ่งชน วิ่งสู้ และไม่เคยปล่อยให้คู่แข่งเล่นง่าย ๆ
- เป็นคนที่ดึงเพื่อนร่วมทีมให้เล่นด้วยไฟและศรัทธาเสมอ
- ทุกครั้งที่แมนยูต้องการความกล้าและความแข็งแกร่ง ร็อบสันคือคำตอบ

ฟันเฟืองใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มทีม
การสร้างทีมไม่ได้มีแค่กัปตัน แต่แมนยูในยุค 80 ยังได้เสริมขุมกำลังที่กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์ สเตเปิลตัน หัวหอกที่คอยผลิตสกอร์, อาร์โนลด์ มูห์เรน มิดฟิลด์ชาวดัตช์ที่เพิ่มชั้นเชิงการเล่น และนักเตะต่างชาติที่เข้ามาเติมสีสันให้ทีมมีมิติ
การเริ่มต้นยุคเฟอร์กี้ สู่จุดเริ่มต้นความสำเร็จ
ปี 1986 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการแต่งตั้ง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากอเบอร์ดีนเข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เขาถูกมองเป็นม้านอกสายตา เพราะยังไม่เคยพิสูจน์ตัวเองในระดับใหญ่ แต่เฟอร์กี้กลับค่อย ๆ เปลี่ยนวัฒนธรรมของทีมจากรากฐาน เขามุ่งเน้นเรื่องระเบียบวินัย ความฟิต และการสร้างขุมกำลังที่ผสมผสาน อะคาเดมีแมนยู กับแข้งคุณภาพจากต่างแดน
- เฟอร์กี้เข้ามาพร้อมกับความเด็ดขาด ถึงขั้นจัดการเรื่องพฤติกรรมนอกสนามของนักเตะที่ไม่เป็นมืออาชีพ
- สร้างวินัยและศรัทธาให้กับทีมอย่างเปี่ยมล้น
- การมาของเฟอร์กี้คือรากฐานสำคัญ ที่ต่อยอดสู่การสร้างจักรวรรดิแมนยูในยุค 90
เรื่องราวของ ตำนานแมนยูยุค 70 ภาพสะท้อนของการต่อสู้จากยุคที่ร่วงโรย สู่การสร้างรากฐานใหม่ด้วยนักเตะทั้งที่โด่งดังและที่ถูกลืม แม้สโมสรจะเคยตกชั้นและเจอกับปัญหามากมาย แต่ก็ยังกลับมาได้พร้อมปูทางจากยุค 80 สู่การเริ่มต้นความสำเร็จยุคของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุญแจสำคัญที่จุดประกายความศรัทธากลับคืนมา ทุกสิ่งล้วนมีเหตุมีปัจจัย ความสำเร็จทุกก้าวย่อมมีที่มา จนเป็นอย่างที่เห็นกับความสำเร็จของแมนยูฯ ซึ่งเมื่อแฟนผีตัวจริงรู้แล้วจะยิ่งทำให้คุณรักทีมของคุณมากขึ้นแน่นอน
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.