วิธีคิดแบบ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สูตรลับพาแมนยูสู่ยุครุ่งเรือง

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

SIR alex

ferguson

ไม่มีชื่อไหนในวงการฟุตบอลที่จะถูกเชื่อมโยงกับคำว่า “ความยิ่งใหญ่” ได้ดีเท่ากับชื่อนี้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีกแล้ว กับกุนซือผู้สร้างยุคทองให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จนกลายเป็น ผู้จัดการทีมตำนานแมนยู ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ และไม่มีใครแทนได้ตั้งแต่เขาลงจากตำแหน่ง

ด้วยจำนวนแชมป์ที่มากมายที่เขาคว้ามาให้ทีม วิธีการบริหารทีมที่ผสมผสานระหว่างความเข้มงวดและศิลปะในการจัดการคนอย่างแยบคาย สิ่งเหล่านี้ยกให้เขาเป็นมากกว่าแค่คำว่าโค้ชฟุตบอล แต่เป็นผู้นำที่เปลี่ยนสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปตลอดกาล บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเคล็ดลับที่แท้จริง พร้อมเกร็ดที่แฟนบอลทั่วไปไม่เคยรู้

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ความสำเร็จของเฟอร์กูสันหลัก ๆ เลยคือการสร้างกฎที่ชัดเจนและเข้มงวด ทุกคนต้องมาตรงเวลา ต้องฟิต ต้องให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมทีมและสโมสร ไปดูกันกับกฎเหล็กที่ป๋าตั้งไว้ นักเตะในทีมต้องจำให้ขึ้นใจ

  • ไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร – ต่อให้เป็นซูเปอร์สตาร์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎ
  • ความฟิตคือหัวใจ – ใครไม่ฟิต ไม่มีสิทธิ์ลงสนาม
  • เคารพเพื่อนร่วมทีม – ความสามัคคีคือกำแพงเหล็กของสโมสร

เฟอร์กูสันมักจะนำคำวิจารณ์จากสื่อหรือคู่แข่งมาปลุกไฟในทีม เขารู้ว่าความโกรธและความท้าทายสามารถเปลี่ยนเป็นพลังบวกได้ หากใช้ให้ถูกจังหวะ วินัยและแรงกระตุ้นเป็นรากฐาน แต่ความเป็นตำนานของเขายังมาจากการตัดสินใจในแมตช์สำคัญ ซึ่งเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ในพริบตา

ตัวอย่างชัดเจนในฤดูกาล 1995/96 เมื่อ อลัน แฮนเซ่น อดีตกองหลังลิเวอร์พูลวิจารณ์แมนยูว่า “You can’t win anything with kids” หลังพ่ายเปิดซีซั่น เฟอร์กูสันเอาประโยคนี้มาติดในห้องแต่งตัวเป็นแรงกระตุ้น จนทีมชุดเด็กอย่างคลาส 92 พลิกสถานการณ์ คว้าดับเบิลแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียว

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ในเส้นทางของป๋าเฟอร์กี้มากมายหลายเกมที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ ยิงนาทีสุดท้ายเพื่อชนะ ซัดประตูนาทีบาป หรือจังหวะมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดคิด แมนยูยุคป๋านั้นมีหมด ยิ่งในเกมนี้ที่แฟนผีไม่มีวันลืมกับเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกปี 1999 ที่พลิกกลับมาชนะบาเยิร์น มิวนิค 2-1 ในช่วงทดเวลา เฟอร์กูสันแสดงให้เห็นถึงการอ่านเกมและการเปลี่ยนตัวที่เฉียบขาด ไปจนถึงเรื่องโชคที่บางครั้งก็ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในสนาม

เวย์น รูนี่ย์

การตัดสินใจของเซอร์อเล็กซ์ในการส่ง โอเล กุนนาร์ โซลชา และ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ลงสนามในเกมที่โดนนำอยู่ 1-0 ใครเห็นก็อาจประเมินแค่ว่าเพิ่มตัวรุกปกติวิสัยของโค้ชทีมที่โดนนำ แต่ผลลัพธ์กลับมากกว่านั้น เพราะมันเปลี่ยนสมการไปเลยทั้งเกม แรงกดดันที่บีบคั้นจากบาเยิร์น มิวนิคเริ่มถูกคลายออก เพราะสองกองหน้าที่มีสไตล์เข้ามาเติมเต็มให้กับทีมกำลังโดนทุบหนัก ๆ ให้กลับมาโงหัวขึ้นได้ “น้าหมี” เชอริงแฮม ใช้ความเก๋าในการหาพื้นที่และพักบอล ขณะที่โซลชา อาศัยความไวและสัญชาตญาณการจบสกอร์ ทำให้เกมรุกของแมนยูพลิกจากการพยายามเข้าทำแบบไร้ทิศทาง มาเป็นการโจมตีที่มีความหวัง ทุกการสัมผัสบอลของทั้งคู่เหมือนปลุกให้เพื่อนร่วมทีมเชื่อว่าประตูยังอยู่ใกล้แค่เอื้อม

และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากลงสนาม แรงกดดันนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่เกินจะเชื่อ เชอริงแฮมตามซ้ำบอลจนเป็นประตูตีเสมอ ก่อนไม่กี่วินาทีที่โซลชาจะสอดขึ้นมาซัดประตูชัยในช่วงทดเจ็บ ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ช่วงเวลาที่ว่านี้แหละคือการสร้างตำนานที่ถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ของโลกฟุตบอลและแฟนผีไม่มีวันลืมได้

แมตช์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างชื่อเสียง แต่ยังย้ำให้โลกเห็นว่าเฟอร์กูสันมีทั้งแท็กติกและหัวใจนักสู้ในคนเดียวกัน

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน