
man u
liverpool
เมื่อคำว่า ”ศึกแดงเดือด” ใช่สื่อความหมายถึงวันนั้นของเดือน แต่แท้จริงคือเกมใหญ่ระหว่าง แมนยู vs ลิเวอร์พูล เกมฟุตบอลที่มากกว่าทีมใหญ่เจอกัน แต่เป็นเรื่องราวที่สืบทอดมายาวนานเกินกว่าศตวรรษ ลามจนรากเหง้าของความขัดแย้งนี้ฝังลึกตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
กับเรื่องราวของสองเมืองที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและความเจริญ ลามเข้าสู่เกมฟุตบอล ความสำเร็จในอดีตของ แมนยู และ ลิเวอร์พูล ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ ทำให้ทุกนัดเป็นเหมือนเกมแห่งศักดิ์ศรี ไม่ว่ารูปแบบการแข่งขันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แมตช์นี้ยังคงดึงสายตาแฟนบอลทั่วโลกได้ทุกครั้งที่ฟาดแข้ง เราจะพาคุณไปย้อนดูที่มาที่ไปกัน
จุดเริ่มต้นของศึก แมนยู vs ลิเวอร์พูล มาจากไหน?
ความไม่ลงรอยเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่ฟุตบอลจะกลายมาเป็นกีฬามหาชน แมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าและเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของอังกฤษ การสร้างคลองแมนเชสเตอร์ในปี 1894 เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ท่าเรือลิเวอร์พูล ทำให้เกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสองเมืองอย่างชัดเจน และเมื่อมีเกมฟุตบอลมาเกี่ยวข้องและเริ่มเฟื่องฟู สโมสรจากทั้งสองเมืองก็ได้รับเอาความตึงเครียดที่ว่านี้มาอัดกันต่อในสนาม

เรือในโลโก้แมนยู รู้ไหมว่าเกี่ยวกับหงส์
แม้แฟนบอลส่วนใหญ่จะคิดว่าความขัดแย้งของคู่นี้เริ่มจากฟุตบอลเป็นต้นตน แต่ที่คนทั้งสองเมืองนี้เขารู้กันว่าความจริงคือจุดเริ่มต้นมาจาก “การแย่งชิงเส้นทางการค้าขนส่ง” และแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ทีน่าสนใจคือ ถ้าสังเกตโลโก้แมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตี้ จะพบ “รูปเรือ” รู้หรือไม่ว่าตามตำนาน ทั้งที่เมืองแมนเชสเตอร์ไม่ได้ติดทะเล! นี่คือสัญลักษณ์ที่ถูกแอบใส่ไว้เพื่อประกาศให้รู้ว่า “แมนเชสเตอร์ขุดคลองตัดขาดลิเวอร์พูลได้สำเร็จ และอยากแสดงความภูมิใจ” ซึ่งเป็นความลับที่ฝังแน่นผ่านรุ่นต่อรุ่นในแฟนบอลคนเมือง
ทำไม ‘แดงเดือด’ ถึงไม่ใช่แค่แมตช์นี้ธรรมดา?
เสียงเชียร์ เสียงโห่ และเสียงเพลงประจำสโมสรดังตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมจนหลังจบ เสียงทุกเสียงเหมือนพลังที่ไหลเข้าสู่ร่างกายนักเตะ ทำให้เกมนี้เต็มไปด้วยจังหวะดุดันเกินปกติ
3 สิ่งที่ทำให้แดงเดือดต่างจากเกมอื่น
- เดิมพันทางจิตวิทยา – แพ้แล้วไม่ใช่แค่เสียแต้ม แต่เสียหน้าต่อทั้งเมือง
- การเจอกันของยุคทอง – ทั้งสองทีมเคยมีช่วงเวลาครองลีกอย่างยาวนาน
- เหตุการณ์ดราม่าในอดีต – จากใบแดงปัญหาถึงประตูชัยท้ายเกมที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์
พลังของแดงเดือดไม่เคยจาง และแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แฟนบอลทั้งสองฝั่งยังคงรอแมตช์นี้ด้วยใจเต้นแรง

เหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนโฉมการเจอกันของทั้งสองทีม
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งคู่มีแมตช์ที่สร้างรอยแผลและความทรงจำมากมายสลับกัน ทั้งชัยชนะถล่มทลายและความพ่ายแพ้ที่เจ็บลึก เช่น การคัมแบ็กของแมนยูในปี 1999 หรือชัยชนะของลิเวอร์พูลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ปี 2009 เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนตารางคะแนน แต่ยังเปลี่ยนทิศทางของฤดูกาลทั้งฤดูกาล
แมตช์ที่ถูกจารึกในตำนาน
- 1999 เอฟเอคัพ รอบ 4 – แมนยูพลิกแซงชนะ 2-1 ในช่วงท้ายเกม
- 2009 พรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูลบุกชนะแมนยู 4-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
- 2018 พรีเมียร์ลีก – มูรินโญ่พาแมนยูชนะ 2-1 ด้วยแท็กติกปิดเกมที่สมบูรณ์แบบ
เกม 7-0 ช่วงเวลาสุดปวดใจของแฟนผี
วันที่ 5 มีนาคม 2023 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปอย่างขาดลอย 7-0 สร้างสถิติที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ในศึกแดงเดือดครั้งนี้ เพราะเป็นชัยชนะที่ทิ้งห่างที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุคพรีเมียร์ลีก

มากไปกว่านั้นจากสกอร์ที่จบห่างกันมากถึง 7 เม็ด ยังเป็นความพ่ายแพ้ที่ร้ายแรงที่สุดของแมนยูในประวัติศาสตร์บอลอังกฤษด้วย ประตูจากกัคโป, นูนเญซ, ซาลาห์ และเฟอร์มิโน่ช่วยกันถล่มตาข่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้แอนฟิลด์กลายเป็นสนามแห่งความทรงจำของแฟนบอลลิเวอร์พูล ในขณะที่อีกฝั่งแมนยู ต้องเจอกับช่วงเวลาอันแสนขมที่ยากจะลืม
บทเรียนแมนยูฯ จากเกมแพ้ลิเวอร์พูล 7-0 โดย แกรี่ เนวิลล์
เขาวิจารณ์เกมที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดบุกแพ้ลิเวอร์พูล 7-0 ว่า เป็นผลการแข่งขันที่น่าตกใจและน่าอับอายสำหรับทีมปีศาจแดง โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของนักเตะบางรายที่เขาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน พร้อมระบุว่าสภาพจิตใจและภาษากายของผู้เล่นส่งผลให้เกมย่ำแย่ขึ้นไปอีก นอกจากนี้ แกรี่ เนวิลล์ ยังชี้ว่าแมนยูขาดสมาธิและเล่นด้วยสติที่หลุด ทำให้ลิเวอร์พูลกดดันและทำคะแนนได้ต่อเนื่องจนจบเกมด้วยผลลัพธ์ขาดลอย เขายังเน้นย้ำว่าแมนยูต้องทบทวนและแก้ไขปัญหาภายในโดยเร็วหากหวังกลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
เกม แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด บอกอะไรกับแฟนบอล?
แมตช์ล่าสุดของ แมนยู vs ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่ายังมีประกายความดุเดือดไม่ต่างจากอดีต แม้ยุทธศาสตร์การเล่นจะเปลี่ยนไป แต่ความเข้มข้นในจังหวะปะทะและการตอบสนองของแฟนบอลยังคงเหมือนเดิม นักวิเคราะห์ฟุตบอลมองว่านี่คือเกมที่ทั้งสองทีมพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองยังคู่ควรกับตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” ของเกาะอังกฤษไม่แพ้กัน
แม้เกมจะจบไปแล้ว แต่เรื่องราวของ แมนยู vs ลิเวอร์พูล จะยังถูกเล่าต่อไปอีกนาน นี่ไม่ใช่แค่การแย่งแต้มในลีก แต่คือบทพิสูจน์ว่าศักดิ์ศรีและประวัติศาสตร์ยังคงมีค่ามากกว่าตารางคะแนน แล้วคุณล่ะ พร้อมจะอยู่ในสนามแดงเดือดสักครั้งในชีวิตหรือยัง?
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.