อะไรทำให้ทีมชุดตำนาน แมนยู 1999 ถึงยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล?

แมนยู 1999

man u

1999

ฤดูกาล 1998/99 คือปีที่แฟนแมนยูไม่มีใครลืมลง เพราะชื่อของ แมนยู 1999 ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะทีมเดียวจากอังกฤษที่คว้า ทริปเปิลแชมป์ (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ภายในฤดูกาลเดียว การผสมผสานของฝีเท้า จิตวิญญาณ และแผนการที่ถูกวางไว้อย่างลงตัว ชุดนักเตะที่ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นต้นแบบให้สโมสรทั่วโลกต้องเดินตาม และยังคงถูกพูดถึงในฐานะ ทีมตำนานแมนยู จนถึงปัจจุบัน

แม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปี รายละเอียดและ แมนยู 1999 รายชื่อ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ยังคงมีเรื่องเล่าที่หลายคนไม่เคยรู้

แมนยู 1999

ในทีมชุดนี้มีทั้งซูเปอร์สตาร์และผู้เล่นที่ทำงานหนักเงียบ ๆ รายชื่อที่คุ้นหูอย่างปีเตอร์ ชไมเคิล, รอย คีน, เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, ดไวท์ ยอร์ค, แอนดี้ โคล, อาจถูกจดจำในไฮไลต์บ่อยครั้ง แต่ยังมีนักเตะอย่าง เฮนิง เบิร์ก และเวส บราวน์ ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในเกมรับ และช่วยทีมเก็บคลีนชีตในแมตช์ที่ตึงเครียด

ชื่อนักเตะอย่างเบิร์กและบราวน์ อาจไม่ได้เป็นที่ต้องตาของแฟนบอลที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าพระรองอย่างพวกเขา มักได้รับมอบหมายให้ลงในเกมยุโรปหรือเกมที่คู่แข่งมีจุดเด่นด้านลูกกลางอากาศ พวกเขาอาจไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ แต่การยืนตำแหน่งและหยุดเกมรุกคู่แข่งในจังหวะสำคัญช่วยเซฟคะแนนให้ทีมหลายครั้ง เฟอร์กูสันจงใจเก็บความสำคัญของพวกเขาไว้เป็น “ไพ่ลับ” ที่สื่อไม่ค่อยได้เห็น

เฟอร์กูสันใช้ระบบ “จับคู่ตำแหน่ง” เพื่อให้ผู้เล่นมีความคุ้นเคยกันสูงสุด ยอร์ค-โคล เป็นคู่หลัก ส่วนโซลชาร์-เชอริงแฮม เป็นคู่สำรองที่สามารถพลิกเกมได้ทันทีเมื่อถูกส่งลงสนาม วิธีนี้ทำให้ทีมสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้แม้จะหมุนเวียนผู้เล่นในโปรแกรมถี่

จากตรงนี้ เราจะเห็นว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่ 11 ตัวจริง แต่เกิดจากทั้งทีมที่มีระบบรองรับกันและกันอย่างสมบูรณ์แบบ

แมนยู 1999

ทุกถ้วยรางวัลของปี 1999 มี “เกมจุดเปลี่ยน” ที่ถ้าแพ้อาจไม่มีวันจารึกตำนาน หนึ่งในนั้นคือรอบสี่เอฟเอคัพพบลิเวอร์พูล ที่โซลชาร์ยิงประตูชัยช่วงทดเวลา ทำให้ทีมยังมีลุ้นทั้งสามถ้วยต่อไป

เกมกับลิเวอร์พูลในเอฟเอคัพถือเป็นหนึ่งในนัดที่กดดันที่สุดของซีซั่น แมนยูตามหลังตั้งแต่นาทีแรก ก่อนจะพลิกชนะ 2-1 ในช่วงท้าย เฟอร์กูสันยอมรับภายหลังว่าถ้าตกรอบในวันนั้น นักเตะอาจหมดแรงใจไปกับอีกสองรายการที่เหลือ

เกมเอฟเอคัพรอบสี่กับลิเวอร์พูลในวันที่ 24 มกราคม 1999 เริ่มต้นด้วยความกดดันมหาศาลเมื่อ ไมเคิล โอเว่น ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 3 ทำให้แมนยูต้องเร่งเกมเพื่อไล่ตีเสมอ ตลอดทั้งแมตช์ลิเวอร์พูลเล่นเกมรับแน่นและอันตรายในจังหวะโต้กลับ ส่วนแมนยูครองบอลมากกว่าแต่เจาะไม่เข้า

จนกระทั่งนาทีที่ 88 ดไวท์ ยอร์ค ยิงตีเสมอ 1-1 จากลูกเปิดของแกรี่ เนวิลล์ และเพียงสองนาทีถัดมา โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ตัวสำรองที่เพิ่งลงสนาม ซัดประตูชัยนาทีที่ 90 ทำให้แมนยูพลิกชนะ 2-1 แบบสุดดราม่า กลายเป็นหนึ่งในแมตช์สำคัญที่รักษาเส้นทางสู่ทริปเปิลแชมป์เอาไว้

แมนยู 1999

ส่วนในถ้วยหูใหญ่นัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับบาเยิร์น ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายถ้วยที่ 3 ของปีนั้น เฟอร์กูสันไม่ได้สั่งบุกอย่างที่เล่ากัน แต่บอกให้เพรสซิ่งแดนกลางทันทีเมื่อเสียบอล เพราะรู้ว่าบาเยิร์นจะชะลอเกมเพื่อรักษาสกอร์ แรงกดดันนี้นำไปสู่การได้ลูกเตะมุมช่วงท้าย ซึ่งเปลี่ยนเป็นสองประตูพลิกแชมป์ในตำนาน

แมนยูโดนนำ 1 ประตูจนเวลาเกมนั้นใกล้หมด พวกเขาได้ลูกตีเสมอในนาทีที่ 91 จากจังหวะเตะมุมของเดวิด เบ็คแฮม บอลถูกโยนเข้ามาในเขตโทษแล้วเดือดตรงกลาง ก่อนที่เท็ดดี้ เชอริงแฮม จะโฉบเข้ามาเปลี่ยนทางบอลด้วยเท้าขวาในระยะเผาขน ส่งบอลเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบคม ประตูนี้ไม่เพียงปลุกความหวังของทีม แต่ยังเปลี่ยนโมเมนตัมทันทีจากที่บาเยิร์นกำลังรอชูถ้วยจากเสียงนกหวีดสุดท้าย กลับเป็นต้องมาสู้ต่อเพราะสกอร์อยู่ที่ 1-1

แน่นอน่าประตูนั้นทำให้พี่เสือใจเสียกันทั้งทีม และเพียงสองนาทีต่อมา นาทีที่ 93 แมนยูได้ลูกเตะมุมอีกครั้งจากฝั่งขวา เบ็คแฮมเปิดบอลโค้งพุ่งเข้าเขตโทษ เชอริงแฮมที่เพิ่งยิงตีเสมอเมื่อครู่โหม่งต่อให้โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ยิงจ่อ ๆ ด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเสียบเพดานตาข่าย กลายเป็นประตูชัย 2-1 ที่ทำให้แมนยูคว้าแชมป์ยุโรปอย่างเหลือเชื่อ จังหวะนี้ถูกจดจำในฐานะ “ประตูทองของซูเปอร์ซับ” และเป็นภาพที่ฝังอยู่ในใจแฟนบอลทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

แมนยู 1999