
paul
schole
โลกของฟุตบอลที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์และแสงไฟจ้าจากสื่อ มีนักเตะไม่กี่คนที่ถูกพูดถึงด้วยความเคารพจากทั้งเพื่อนร่วมอาชีพและคู่แข่งแบบไร้ข้อกังขา “พอล สโคลส์” คือหนึ่งในนั้น เขาอาจไม่ใช่ผู้เล่นที่ชูมือเรียกร้องความสนใจ แต่ในแง่ของความสามารถ การเข้าใจเกม และการสร้างผลลัพธ์ต่อเกม ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเขาคือหนึ่งในสุดยอด กองกลางแมนยู ที่โลกเคยมี แม้จะไม่ได้มีภาพลักษณ์เด่นชัดแบบ เบ็คแฮม ไม่ดุดันขั้นสุดแบบ รอย คีน แต่สิ่งที่เขาทำในสนามนั้นยิ่งใหญ่คล้ายเฟืองหลักของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทัพปีศาจแดงสู่ความยิ่งใหญ่ในยุคหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ พอล สโคลส์ กลายเป็นตำนานตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้แต่ “เบอร์ 18” ที่เขาสวมใส่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความพิเศษที่แทบไม่มีใครลืม เรื่องราวที่น่าสนใจของเข้าจะเป็นยังไง เราจะเล่าให้ฟัง
พอล สโคลส์ กับบทบาทความสำเร็จของแมนยู
ตลอดระยะเวลากว่า 19 ปีในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด พอล สโคลส์ ไม่เคยเป็นเพียงแค่ตัวเลือกเสริม แต่คือ “ตัวหลัก” ที่ไม่อาจแทนที่ได้ เขาเล่นภายใต้ผู้จัดการทีมที่เข้มงวดอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และอยู่ในทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 11 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย, เอฟเอคัพ 3 สมัย และถ้วยอื่น ๆ อีกมากมาย เขาคือ “ขุมพลังเงียบ” ที่ทีมพึ่งพา ไม่ว่าจะในจังหวะที่ต้องการควบคุมเกมหรือการสร้างสรรค์โอกาสในเกมรุก
เรื่องราวชาวแก็งค์ของ สโคลส์ และกลุ่ม 1992 ที่กลายมาเป็นตำนานสร้างความสำเร็จให้ผีแดงมีมีอะไรบ้าง ตามไปดูเลย

รุ่นเยาวชนชุดทองคำ 1992 ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์แมนยู
- พอล สโคลส์ คือส่วนหนึ่งของกลุ่ม Class of ’92 ซึ่งประกอบด้วยนักเตะอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์ , แกรี่ เนวิลล์, นิกกี้ บัตต์ และฟิล เนวิลล์
- ทุกคนเติบโตมาจากอะคาเดมีของแมนยู และมีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ FA Youth Cup
- ความผูกพันระหว่างพวกเขาไม่ได้จบแค่ในสนามฝึก แต่ต่อยอดจนกลายเป็นโครงสร้างของทีมชุดใหญ่
- ความรู้ใจกันของพวกเขาทำให้แมนยูเล่นด้วยระบบที่ลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้ซูเปอร์สตาร์จากภายนอกมากมาย
- นี่คือกลุ่มนักเตะที่ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ แต่ยังมีหัวใจที่ทุ่มเทเพื่อสโมสรแบบไร้ข้อแม้
และในเมื่อเรารู้แล้วว่าเขาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้แมนยูประสบความสำเร็จระดับประวัติศาสตร์ คำถามต่อมาก็คือ สโคลส์ ใช้ “เครื่องมืออะไร” ในการเปลี่ยนเกมให้เป็นของตัวเอง? คำตอบอยู่ในสไตล์การเล่นที่ไม่ต้องวิ่งเร็ว ไม่ต้องโยนไกล แต่ชัดเจนทุกจังหวะ…ชนิดที่นักเตะบางคนฝึกทั้งชีวิตก็อาจยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
สไตล์การเล่นของพอล สโคลส์ สร้างความได้เปรียบให้ทีมอย่างไร?
สโคลส์คือคนที่ทำให้ “เกมกลางสนาม” กลายเป็นสนามรบที่เขาควบคุมได้ด้วยการมองเห็นช่องว่าง การจ่ายบอลที่เหมือนมี GPS เท้าติดเรดาร์ และการยิงไกลที่คมจนประตูฝ่ายตรงข้ามต้องขยาด เขาไม่ใช่นักเตะที่เล่นเพื่อความบันเทิง แต่เล่นเพื่อให้ทีมชนะ ซึ่งนั่นแหละคือความยิ่งใหญ่
ความแม่นยำในการจ่ายบอลที่เหมือน “จับวาง”
ทุกครั้งที่สโคลส์จับบอล ไม่มีใครเดาได้เลยว่าบอลจะไปทางไหน เพราะเขาคิดไว้แล้วสองจังหวะข้างหน้า บอลยาวของเขาไม่ใช่การหวดส่ง ๆ แต่มันคือการเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมวิ่งเติมอย่างชาญฉลาด คนที่มองว่าการจ่ายบอลไม่สำคัญ แปลว่ายังไม่เคยดูพอล สโคลส์เล่นจริงจัง
จุดเด่น-ความต่าง-ทำเพื่อทีม
- ไม่เล่นเพื่อกล้อง : เขาไม่ได้สนใจว่าจะถูกถ่ายภาพได้มุมเท่แค่ไหน สนใจแค่ทีมเล่นได้ดีหรือไม่
- ไม่สนใจตำแหน่งซูเปอร์สตาร์ : สโคลส์ไม่ต้องการปลอกแขนกัปตัน แต่มีอิทธิพลยิ่งกว่าคนที่ใส่มัน
- เล่นเพื่อทีม ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง : เพราะเขาเชื่อว่าการช่วยให้ทีมชนะคือเกียรติยศที่ยั่งยืน
ศิลปะการเล่นของเขาชัดเจนและลงตัว คงไม่แปลกที่คำชื่นชมจะหลั่งไหลมาจากทั้งคนในและนอกสนาม แต่สิ่งที่ทำให้มันทรงพลังยิ่งกว่า คือคนที่กล่าวยกย่องเขานั้นก็ยังมีบรรดา นักเตะระดับตำนานด้วยกัน เป็นยอดฝีเท้าระดับโลก ที่คงไม่มีประโยชน์หากจะโกหกเมื่อกล้างถึงฝีเท้าของ สโคลส์

ใครบ้างที่ยกย่องพอล สโคลส์ว่าคือของจริง?
จะเห็นว่าชื่อเสียง คำนิยม การได้รับการชื่นชมตลอดการค้าแข้งของ สโคลส์ ดูเหมือนจะเทียบไม่ได้หากไม่วางคู่กับพวก ซีาน, เบ็คแฮม, เจอร์ราร์ด หรืออีกหลาย ๆ คน แต่นั่นคือมุมมองของแฟนบอล เพราะความเป็นจริงในระดับนักเตะด้วยกัน ต่างพร้อมใจกันยกย่องเขาโดยไม่มีข้อแม้ หากถามตำนานเหล่านั้นว่ากองกลางที่เก่งที่สุดคนหนึ่งคือใคร ชื่อนั้นคือพอล สโคลส์ นักเตะที่โลกอาจลืมโปรโมต แต่เพื่อนร่วมวงการไม่มีวันลืมและจริง ๆ ฝันอยากจะเล่นร่วมด้วยสักเกม
วลีชื่นชมจากสุดยอดแข้งคู่แข่ง
- ซีเนดีน ซีดาน: “สโคลส์คือนักเตะอังกฤษที่ผมอยากเล่นด้วยมากที่สุดในชีวิต”
- ชาบี เอร์นานเดซ: “เขาเข้าใจจังหวะของฟุตบอลดีกว่าใครทั้งหมด”
- เป๊ป กวาร์ดิโอลา: “เขาอ่านเกมได้เหมือนกวีอ่านบทกลอน”
เพื่อนร่วมทีมพูดถึงเขาว่ายังไงบ้าง?
และไม่ใช่แค่คู่แข่งเท่านั้นที่ยกย่อง แม้แต่เพื่อนร่วมทีมเองก็ยอมรับว่าเขาเป็นศูนย์กลางของทีมในเชิงเทคนิค เวย์น รูนีย์เคยบอกว่า “เวลาผมไม่รู้จะส่งให้ใคร ผมส่งให้สโคลส์ แล้วเขาจะหาทางออกให้ทีมได้เอง”
อย่างไรก็ตามในโลกฟุตบอล ไม่มีตำนานคนใดเกิดจากด้านเดียวของเหรียญ ภายใต้ใบหน้าใจดี เฟรนลี่ มุ่งมั่นใจเกม มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่คือ “สโคลส์ก็มีด้านมืด” ที่หลายคนไม่เคยกล้าเล่า เพราะมันไม่ใช่ความอื้อฉาวหรือเรื่องส่วนตัว… แต่มันคือจิตวิญญาณนักสู้ที่ถูกหล่อมาจากเหล็ก เป็นความโหดที่ยุติธรรม และหนักแน่นกว่าคำว่าเทคนิค แต่คือแทคติกที่ต้องเรียนรู้จากการผ่านเกมในสนามเท่านั้น
ด้านมืดของสโคลส์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
ตลอดเส้นทางกว่า 2 ทศวรรษ ไรอัน กิ๊กส์ สร้าง โมเมนต์ตำนานแมนยู ที่เต็มไปด้วยความทรงจำและคุณค่าทางจิตใจต่อแฟนบอลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวอันน่าจับตา ประตูประวัติศาสตร์ในเอฟเอคัพ 1999 การพลิกเกมในแมตช์สำคัญ หรือการเป็นผู้นำในช่วงปลายอาชีพ ทุกเหตุการณ์คือบทพิสูจน์ว่าตำนานไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความมุ่งมั่นและการทุ่มเทอย่างไม่มีข้อแม้
ความดิบในสนามที่ใครก็ไม่อยากปะทะ
- ฟาวล์หนักจนโดนใบเหลืองกว่า 90 ครั้งในพรีเมียร์ลีก
- เข้าสกัดแบบไม่ยั้ง แม้จะนำอยู่หลายลูก ก็ยังเล่นเหมือนทีมโดนนำ
- คู่แข่งจำนวนมากยอมรับว่า การปะทะกับเขาคือ “ของจริง” ไม่ใช่แค่ “เตะเพื่อขู่”
- เล่นแรงแต่เข้าที่บอลล้วน ๆ ไม่มีนอกมีใน
ความดิบในสนามที่ใครก็ไม่อยากปะทะ
เพราะความดิบที่ว่าคือความซื่อสัตย์ เขาไม่ได้พุ่งล้ม ไม่เล่นตุกติก แต่เล่นหนักและแฟร์ เขายึดมั่นในหลักการฟุตบอลของอังกฤษแบบดั้งเดิม และนั่นคือเหตุผลที่ทั้งเพื่อนและศัตรูต่างก็เคารพในความเป็นเขา
และเพราะความสมบูรณ์แบบของเขาไม่ได้อยู่แค่ตอนครองบอล แต่ยังอยู่ในสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้โลกฟุตบอล สโคลส์ไม่เคยกล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขาคือบทเรียนที่นักเตะรุ่นใหม่ควรจดจำ…ไม่ใช่แค่เพื่อเล่นให้เก่งขึ้น แต่เพื่อเป็นคนที่เกมฟุตบอลจะนับถือ
สิ่งที่สโคลส์สอนเราได้ แม้เขาจะรีไทร์ไปแล้วก็ตาม
แม้จะไม่มีบทสัมภาษณ์ยาว ๆ หรือคลิปวิดีโอสร้างแรงบันดาลใจ แต่พฤติกรรมของสโคลส์ในสนามก็คือหนังสือเรียนเล่มหนึ่งของนักเตะรุ่นใหม่ทุกคนที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ปฎิเสธได้ยากว่ายุคนี้จะหาสไตล์การเล่นของกองกลางทีครบเครื่องอย่างเขาไม่ใช่เรื่อง่าย ดังนั้นแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตนักเตะของ สโคลส์จึงน่าจะเป็น “คู่มือพื้นฐาน” ที่นักฟุตบอลทุกคนควรทำตาม
สถิติส่วนตัวของพอล สโคลส์
- ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดรวมทั้งหมด 718 นัด
- ยิงได้มากกว่า 150 ประตูรวมทุกรายการ (พรีเมียร์ลีก 107 ประตู)
- ทำ 54 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก
- ติดทีมชาติอังกฤษ 66 นัด ยิงได้ 14 ประตู
- คว้าแชมป์ระดับสโมสร 25 รายการ
- แชมป์พรีเมียร์ลีก 11 สมัย
- แชมป์เอฟเอคัพ 3 สมัย
- แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย
- แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย
- แชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 1 สมัย
- เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 50 ผู้เล่นที่ดีที่สุดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA 2011)
แนวคิดเรื่องวินัยและการไม่หลงทางกับชื่อเสียง
เขาไม่เคยแสดงออกถึงความหลงตัวเอง ไม่เคยหลุดเฟรมด้วยข่าวฉาว เขาเป็นนักเตะที่มาถึงสนามก่อนเวลา ฝึกซ้อมหนัก และกลับบ้านเงียบ ๆ โดยไม่มีคนกดชัตเตอร์รัว ๆ แต่เขากลับกลายเป็นไอดอลของนักเตะที่อยากเล่นด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยความหวือหวา

ถอด 5 บทเรียนหลักจาก สโคลส์ ที่นักเตะรุ่นน้องควรนำไปใช้
- อย่าปล่อยให้เสียงสรรเสริญเปลี่ยนตัวตน
- เล่นให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องเรียกร้องความสนใจ
- เข้าใจเกมดีกว่าที่จะโชว์เหนือ
- อยู่กับสโมสรเดียวตลอดชีวิตคือความภักดีที่ประเมินค่าไม่ได้
- จงเป็นนักเตะที่เพื่อนร่วมทีมขาดไม่ได้
เมื่อมองย้อนกลับไป พอล สโคลส์ ไม่ใช่เพียงแค่นักเตะที่มีเทคนิคชั้นยอด แต่คือจิตวิญญาณของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างแท้จริง เขาสร้างความสมดุลให้ทีม มีอิทธิพลต่อเพื่อนร่วมทีม และได้รับความเคารพจากคู่แข่งอย่างไม่ต้องร้องขอ บทเรียนชีวิตจากเขาคือแบบอย่างของคนที่ไม่ต้องพูดมากแต่ทำได้จริง เขาเป็นตัวแทนของ กองกลางแมนยู ในยุคที่ฟุตบอลยังไม่หมุนตามกระแส แต่เคลื่อนด้วยหัวใจที่มีแต่คำว่า “ฟุตบอล”
และเมื่อคุณมองไปที่ “เบอร์ 18” ในสนามครั้งต่อไป ไม่ว่าจากทีมไหน อยากให้ลองถามตัวเองว่า… คุณเคยเห็นใครใส่เบอร์นั้นแล้ว ทำได้เท่ากับ “พอล สโคลส์” หรือไม่? สร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้เหมือนเขาแล้วหรือยัง?
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.