Author: admin

  • ดไวท์ ยอร์ค และ แอนดี้ โคล คู่หูที่ไม่ถูกชะตาแต่พาถล่มสกอร์

    คู่หูที่ไม่ได้เริ่มจากรัก แต่จบที่ไม่มีใครแยกออก ในช่วงแรกของการจับคู่ ยอร์ค กับ โคล ถูกมองข้ามและแทบไม่มีใครพูดถึงความเข้ากันได้ของทั้งคู่ในดีกรีฝีเท้า เพราะสไตล์การเล่นที่ต่างกันอย่างชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองกลับกลายเป็นดูโอ้ที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อและแฟนผีปรารถนา สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันบนสนามได้อย่างสมบูรณ์ ความเร็วของโคลเมื่อผสมผสานกับความเฉียบคมและความแข็งในจังหวะของยอร์ค ทำให้คู่หูนี้กลายเป็นหนึ่งในคู่กองหน้าที่ไร้ที่ติและน่าจับตามองที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ความสัมพันธ์ที่เริ่มจาก “ไม่ถูกชะตา” ยอร์คย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 1998 จากแอสตัน วิลล่า หลังโชว์ฟอร์มโดดเด่นด้วยความเร็วและความแกร่งในแนวรุก ขณะที่โคลเป็นตัวหลักของทีมอยู่แล้วหลังย้ายมาจากคริสตัน พาเลซในปี 1995 แต่ช่วงแรกทั้งคู่ยังไม่ได้รับการจับคู่เล่นด้วยกันอย่างจริงจังและยังไม่ถูกยอมรับเท่าที่ควรในทีมชุดใหญ่ของแมนยู ที่น่าสนใจคือ ในห้องแต่งตัวทั้งคู่ไม่พูดกันเลย แต่พอลงสนามทุกอย่างมันคลิกแบบน่าอัศจรรย์ เหมือนสื่อสารกันผ่านภาษาฟุตบอลในสนาม คลิกกันอย่างลงตัวในทุกจังหวะของโอกาสพังประตู แยกสองสไตล์กับความแตกต่างที่เติมเต็มกันสุดขีด ทริปเปิ้ลแชมป์ไม่เกิด ถ้าไม่มีคู่ “ยอร์ค โคล“ คงไม่นานเกินไปที่ แมนยูในไทย จะนึกออกกับช่วยเวลาคว้า 3 แชมป์ ฤดูกาล 1998/99 การคว้าโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกแบบเหนือความคาดหมายของหลาย ๆ บรรดาเซียนอาจเป็นประเด็นหลัก แต่ประเด็นที่แฟน ๆ มองข้ามไม่ได้อีกเรื่องคือการจารึกชื่อของ ดไวท์ ยอร์ค กับ แอนดี้ โคล…

  • เหตุการณ์ใดของแมนยูในไทยที่กลายเป็นตำนาน?

    การเดินทางของแมนยูในไทยที่เริ่มต้นด้วยความทรงจำ การมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ในปี 1975 เป็นชุด ตำนานแมนยูยุค 70 กับช่วงเวลาที่สื่อโซเชียลฯ คืออะไร แต่เสียงกระหึ่มของแฟนบอลในสนามศุภชลาศัยคือหลักฐานความคลั่งไคล้ที่ไม่มีวันเลือนหาย แฟนบอลยกขบวนมาแบบไม่สนฝนฟ้าแสงแดด เพื่อเฝ้ารอตำนานในเสื้อแดงบุกลงสนาม ทุกจังหวะที่ลูกบอลสัมผัสพื้นหญ้าในคืนนั้น คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่มีการยืนยันของรายชื่อนักเตะที่ลงสนามในครั้งนั้นว่ามีใครบ้าง หรือเจอกับทีมไหน มีเพียงข้อมูลว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกในช่วง ปี 1975 โดยเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์จัดช่วงปรีซีซั่นเพื่อโปรโมทสโมสรในเอเชียเท่านั้น พอจะเดาได้ว่านักเตะจากทีมชุด 1974–75 จำนวนหนึ่ง อย่างเช่น สเต็ปนีย์, ฮิวสตัน, แมคอิลรอย, ฮิลล์, คอปเปลล์ และแม็คคารี น่าจะได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยในเกมนั้น เหตุการณ์ตำนานแมนยูที่ตราตรึงแฟนบอลไทย ถ้าจะพูดถึงแมตช์ที่กลายเป็นตำนาน คงหนีไม่พ้นปี 1997 ที่แมนยูมาลงเล่นกับทีมชาติไทย ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ตอนนั้นสนามแน่นจนแทบไม่มีที่หายใจ เด็กน้อยขึ้นบนบ่า พ่อแม่ลากลูกเข้าไปนั่งข้างเสาธง บรรยากาศเต็มไปด้วยไฟแห่งความศรัทธา ผลการแข่งขันไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่การได้เห็นนักเตะปีศาจแดงด้วยตาเนื้อของแฟน ๆ คือการเติมเต็มความฝันหาสิ่งใดเทียบได้  เหตุการณ์สำคัญที่แฟนบอลไทยไม่เคยรู้ เชื่อมโยงจากบรรยากาศสุดเข้มข้นในยุค 90 มาสู่ยุคใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างแมนยูและแฟนบอลไทยก็ไม่ได้เลือนหายไปไหน ตรงกันข้าม มันกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม…

  • ตำนานแมนยูยุค 70 ใครคือฮีโร่ตัวจริง?

    ย้อนรอยความรุ่งโรจน์จากยุค 70s ที่ไม่เคยเลือนหาย หากใครที่ได้ชมการแข่งขันของ นักเตะแมนยูยุคเก่า จะต้องเห็นถึงความดุดันและแข็งแกร่งของผู้เล่นที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานและผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาอย่างโชกโชน ผู้เล่นเหล่านี้คือคนสำคัญที่ทำให้ทีมปีศาจแดงสามารถยืนหยัดและต่อสู้ในลีกที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมได้ในช่วงเวลาดังกล่าว และนี่คือ 3 คีย์แมนสำคัญที่ไม่ว่าชื่อไหน แฟนผีต้องเคยได้ยินพร้อมกับคำว่า “ตำนาน” 1. บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Bobby Charlton) แม้จะเริ่มสร้างชื่อเสียงตั้งแต่ยุค 60 แต่ในช่วงต้นยุค 70 เขายังเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของแมนยู และทำหน้าที่เป็น “ผู้นำเชิงสัญลักษณ์” ของทีมหลังยุคโศกนาฏกรรมมิวนิก ความเป็นมืออาชีพและความจงรักภักดีทำให้เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในตำนานสูงสุดของสโมสร 2. จอร์จ เบสต์ (George Best) ปีกพรสวรรค์ที่ถูกขนานนามว่า “ราชาแห่งดริบเบิล” เบสต์เป็นหนึ่งในนักเตะที่สร้างสีสันและความตื่นตาในยุค 70 ด้วยทักษะการเลี้ยงบอลและสไตล์การเล่นที่แฟนบอลไม่เคยเห็นมาก่อน เขาถือเป็นนักเตะที่ยกระดับความนิยมของแมนยูให้โด่งดังไปทั่วโลก แม้ชีวิตนอกสนามจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่ในสนามเขาคือขวัญใจตลอดกาล และน่ามองเสมอเมื่อลูกบอลอยู่ในเท้าของเขา 3. ไบรอัน ร็อบสัน (Bryan Robson) เข้าสู่ทีมช่วงปลายทศวรรษ 70 และกลายเป็น “กัปตันมาร์เวล” ในยุค 80 ร็อบสันคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความทุ่มเท เขานำพลัง ความดุดัน และความเป็นผู้นำเข้ามาสู่ทีม…

  • นักเตะตำนานแมนยูจากอะคาเดมีมีใครบ้าง?

    อะคาเดมีแมนยูคือรากฐานสำคัญของความยิ่งใหญ่ อะคาเดมีแมนยูถูกสร้างมาเพื่อเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงสโมสร ตั้งแต่ยุคเซอร์แมตต์ บัสบี้ ที่เชื่อว่าทีมฟุตบอลต้องยืนหยัดด้วยเลือดใหม่ ใช่แค่การทุ่มเงินซื้อนักเตะเพื่อหวังประสบความสำเพียงอย่างเดียว ความจริงที่หลายคนไม่รู้ก็คือ โค้ชอะคาเดมีจะสอดส่องเด็กๆ แทบทุกเกมท้องถิ่นในแมนเชสเตอร์ เพื่อไม่ให้มี “เพชรเม็ดงาม” หลุดรอดสายตา การคัดเด็กที่โหดกว่าที่คิด ความลับเบื้องหลังการฝึกซ้อม ความยิ่งใหญ่ของแมนยูในแต่ละยุค ไม่ได้มาจากซูเปอร์สตาร์ต่างชาติอย่างเดียว แต่เพราะมี “เลือดผีแดงแท้” ที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังมาตลอด เยาวชนตำนานแมนยูที่ถูกปั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เมื่อพูดถึงตำนาน เราต้องนึกถึง Class of 92 ที่ประกอบด้วย สโคลส์, กิ๊กส์, เนวิลล์, เบ็คแฮม และบัตต์ เมื่อผสมกับนักเตะคุณภาพที่ถูกคัดสรรเข้ามาร่วมทีมทั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์ ดไวท์ ยอร์ค, เวย์น รูนี่ย์, รุด ฟาน นิสเตลรอย  พวกเขาคือเด็กที่ถูกหล่อหลอมจากโรงงานโอลด์ แทรฟฟอร์ด ก่อนจะเติบโตเป็นหัวใจหลักของทีม คลาส ออฟ 92 ที่เปลี่ยนโลก เกร็ดลับที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ความทรงจำของแฟนผีแดงจะผูกพันกับคำว่า “เด็กปั้นของเรา” เสมอ และนั่นคือเสน่ห์ที่เงินซื้อไม่ได้ ดาวรุ่ง…

  • กำแพงเหล็กแห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด กัปตันเงา ริโอ เฟอร์ดินานด์

    สู่การเป็นกองหลังตำนานแมนยูของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ปราการหลังจอมเก๋า ริโอ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กหนุ่มย่าน Peckham ที่ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ใช้พรสวรรค์และความบ้าคลั่งในฟุตบอลสร้างทางเดินชีวิต เขาเปิดตัวกับเวสต์แฮมในวัยแค่ 17 ก่อนจะก้าวสู่ลีดส์ ยูไนเต็ด และโด่งดังเป็นพลุแตกจนแมนยูต้องยอมทุ่มสถิติโลก ณ เวลานั้นเพื่อคว้าตัวเขามาร่วมทีมในปี 2002 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานที่แท้จริง ก้าวแรกที่สั่นสะเทือนพรีเมียร์ลีก การพิสูจน์ตัวเองในโรงละครแห่งความฝัน เส้นทางที่เขาเดินมาถึงแมนยูไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการพิสูจน์ว่า “กองหลังระดับตำนาน” ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์อย่างเดียว หากแต่ต้องใช้หัวใจเหล็กและสมองคมกริบในการเอาตัวรอดในทุกสนาม จุดเด่นที่ทำให้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ แตกต่างจากแนวรับคนอื่น? สิ่งที่ทำให้ริโอเหนือกว่ากองหลังทั่วไป ไม่ใช่แค่การเข้าปะทะหรือโหม่งสกัดที่ทำได้อย่างเนียนตาไร้จุดผิดพลาด แต่คือ “ความสงบ” ในยามคับขันของทีม สายตาของเขาเฉียบเหมือนนักล่าเหยื่อ และอ่านเกมขาดราวกับมีสคริปต์เตรียมไว้แล้วในหัว ทุกครั้งที่คู่แข่งคิดว่าหลุดไปได้ เขามักจะโผล่มาเหมือนเงาไม่มีใครคาดคิด และต่อเนื่องด้วยการทำลายความฝันการพังประตูของกองหน้าในพริบตา นี่คือจุดเด่นในสไตล์การเล่นของเขา ศิลปะการป้องกันที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นเหนือกาลเวลา ความเยือกเย็นของกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกช่วงนั้น ทำให้ริโอเป็นตำนานเหนือกาลเวลาและยากจะหาใครเทียบได้ในวงการฟุตบอล เขาแทบจะไม่เคยหลุดจากสมาธิแม้ต้องเผชิญกับการเพรสซิ่งกดดันอย่างหนัก ความกล้าที่เก็บบอลไว้ที่เท้าและควบคุมจังหวะเกมเหมือนมิดฟิลด์ ไม่เพียงแค่ช่วยให้เกมรับราบรื่น แต่ยังสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่รู้ว่ามีคนคอยคุมหลังด้วยความนิ่งสงบ ไม่รีบร้อนหรือเสียสมาธิในทุกสถานการณ์ นี่คือคุณสมบัติที่ทำให้ริโอโดดเด่นในฐานะกองหลังระดับตำนานที่ไม่เคยวิ่งหนีความกดดัน แต่ใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เกมของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากเปรียบ ริโอ เป็นเครื่องจักร เขาคงเป็นรุ่นลิมิเต็ดที่มีทั้งระบบป้องกันและซอฟต์แวร์ล้ำสมัยในตัวเดียว…

  • เดวิด เบ็คแฮม ตำนานแมนยูทั้งในและนอกสนาม

    เส้นทางแจ้งเกิดของเดวิด เบ็คแฮมกับแมนยู ตัวเบ็คแฮมแจ้งเกิดจากทีมเยาวชนชุด Class of ’92 ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในรุ่นทองที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ การก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาแสดงให้เห็นว่ามีทั้งพรสวรรค์และวินัยที่แตกต่างจากคนอื่น ลูกยิงครึ่งสนามใส่วิมเบิลดันในปี 1996 กลายเป็นภาพจำที่ประกาศให้โลกรู้ว่า ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่แข้งดาวรุ่ง แต่คือว่าที่ตำนานอย่างแท้จริง รอดูได้เลย การแจ้งเกิดกับลูกยิงครึ่งสนาม ลูกยิงไกลจากครึ่งสนามในเกมกับวิมเบิลดันไม่เพียงทำให้แฟนบอลต้องลุกขึ้นปรบมือ แต่ยังกลายเป็นไฮไลต์ที่ทำให้ชื่อ “Beckham” ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลกทันที จุดเด่นในสนามของเบ็คแฮม ความลับของการซ้อมฟรีคิก สิ่งที่ทำให้ฟรีคิกของเขากลายเป็นตำนาน เป็นมากกว่าแค่พรสวรรค์แต่มาพร้อมกับพรแสวง ที่เกิดขึ้นจากการซ้อมอย่างหนักกว่า 200 ครั้งต่อวัน ความเพียรนี้ทำให้ทุกครั้งที่บอลลอยออกจากเท้าของเขา มันมักจะไปจบลงที่ก้นตาข่ายเสมอ จากนักเตะดาวรุ่งที่แจ้งเกิดด้วยลูกยิงครึ่งสนาม เบ็คแฮมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ชื่อเสียง แต่ยังกลายเป็นเสาหลักของทีมชาติอังกฤษ จนทำให้เขากลายเป็นมากกว่านักเตะของแมนยู นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องถามต่อว่า ทำไมเขาถึงถูกยกให้เป็นตำนานนักเตะอังกฤษ? ตามไปดูกันต่อเลย ทำไมเบ็คแฮมถึงถูกยกให้เป็นตำนานนักเตะอังกฤษ? ในนามทีมชาติ เบ็คแฮมไม่เพียงลงเล่นมากถึง 115 นัด แต่ยังมีช่วงเวลาที่ทั้งหวานและขมผสมกัน เขาเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิดหลังโดนใบแดงในฟุตบอลโลก 1998 แต่ก็ใช้ความเจ็บปวดนั้นเป็นแรงผลักดันจนกลับมาพาทีมชาติอังกฤษคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2002 ด้วยฟรีคิกในตำนานใส่ทีมชาติกรีซ ประตูประวัติศาสตร์ช่วยสร้างชื่อกับกรีซ นาทีสุดท้ายของเกมคัดเลือกบอลโลก 2001 เบ็คแฮมก้าวขึ้นมารับหน้าที่ และซัดฟรีคิกเสียบเสาอย่างงดงาม ส่งอังกฤษไปบอลโลกทันที ภาพนี้ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษในพริบตา ประตูประวัติศาสตร์ช่วยสร้างชื่อกับกรีซ…

  • ความรักของแฟนบอลทำให้แมนยูเป็นตำนานทีมได้อย่างไร?

    ทำไมแฟนบอลแมนยูถึงถูกยกให้เป็นหัวใจของสโมสร? แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจมีประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยแชมป์ แต่สิ่งที่ทำให้ทีมนี้เป็นมากกว่าสถิติ คือเสียงเชียร์และการสนับสนุนที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีวันเงียบ ไม่มีวันทิ้งทีม แม้จะเกมชนะหรือว่าแพ้เยอะแบบเกม แมนยู vs ลิเวอร์พูล เกม 7-0 และไม่ว่าจะเป็นยุครุ่งเรืองแบบเมื่อตอนที่มีเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือยุคที่สโมสรสะดุดทุลักทุเลแบบในปัจจบัน  ความศรัทธาของแฟนบอลแมนยูไม่เคยหายไปไหน และนี่แหละคือความจริงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทีมมีพลังมากกว่าแค่ 11 คนในสนาม พลังที่แสดงออกอย่างชัดเจน ที่หลายคนไม่รู้คือ สโมสรเคยสำรวจแล้วว่า กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ถือตั๋วรายปี ไม่เคยพลาดการเชียร์ทีมในโอลด์ แทรฟฟอร์ดติดต่อกันยาวนานเกิน 15 ปี เป็นสถิติตัวเลขที่สะท้อนถึงความภักดีอย่างแท้จริง เมื่อแฟนบอลไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้างบรรยากาศ แต่ยังเป็นผู้สืบทอดตำนานจากยุคสู่ยุค เป็นคำถามต่อมาว่า “เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้อย่างไร และส่งผลต่อทีมมากน้อยเพียงใด” ตามไปดูกันเลย เรื่องราวแฟนบอลตำนานมีบทบาทอย่างไรต่อประวัติศาสตร์แมนยู? เรื่องราวแฟนบอลตำนาน ไม่ใช่เรื่องเล่าชวนฝัน แต่เป็นหลักฐานว่าแฟนบอลมีส่วนในการสร้างเส้นทางของสโมสร ตั้งแต่เหตุการณ์ Munich Air Disaster 1958 ที่แฟนบอลทั่วโลกยืนหยัดเคียงข้างทีมด้วยน้ำตา จนถึงการเฉลิมฉลองแชมป์ยุคเฟอร์กูสัน แฟนบอลคือ “เส้นเลือดใหญ่” ของความยิ่งใหญ่ทั้งมวล เหตุการณ์พิสูจน์ตำนานแฟนแมนยูฯ เคยมีการเปิดเผยว่า ในยุคเฟอร์กี้ แฟนบอลบางกลุ่มเดินทางเชียร์ทีมถึง…

  • ทำไมแมนยู vs ลิเวอร์พูล ถึงเป็นตำนานคู่ปรับตลอดกาล?

    จุดเริ่มต้นของศึก แมนยู vs ลิเวอร์พูล มาจากไหน? ความไม่ลงรอยเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่ฟุตบอลจะกลายมาเป็นกีฬามหาชน แมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าและเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของอังกฤษ การสร้างคลองแมนเชสเตอร์ในปี 1894 เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ท่าเรือลิเวอร์พูล ทำให้เกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสองเมืองอย่างชัดเจน และเมื่อมีเกมฟุตบอลมาเกี่ยวข้องและเริ่มเฟื่องฟู สโมสรจากทั้งสองเมืองก็ได้รับเอาความตึงเครียดที่ว่านี้มาอัดกันต่อในสนาม เรือในโลโก้แมนยู รู้ไหมว่าเกี่ยวกับหงส์ แม้แฟนบอลส่วนใหญ่จะคิดว่าความขัดแย้งของคู่นี้เริ่มจากฟุตบอลเป็นต้นตน แต่ที่คนทั้งสองเมืองนี้เขารู้กันว่าความจริงคือจุดเริ่มต้นมาจาก “การแย่งชิงเส้นทางการค้าขนส่ง” และแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ทีน่าสนใจคือ ถ้าสังเกตโลโก้แมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตี้ จะพบ “รูปเรือ” รู้หรือไม่ว่าตามตำนาน ทั้งที่เมืองแมนเชสเตอร์ไม่ได้ติดทะเล! นี่คือสัญลักษณ์ที่ถูกแอบใส่ไว้เพื่อประกาศให้รู้ว่า “แมนเชสเตอร์ขุดคลองตัดขาดลิเวอร์พูลได้สำเร็จ และอยากแสดงความภูมิใจ” ซึ่งเป็นความลับที่ฝังแน่นผ่านรุ่นต่อรุ่นในแฟนบอลคนเมือง ทำไม ‘แดงเดือด’ ถึงไม่ใช่แค่แมตช์นี้ธรรมดา? เสียงเชียร์ เสียงโห่ และเสียงเพลงประจำสโมสรดังตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมจนหลังจบ เสียงทุกเสียงเหมือนพลังที่ไหลเข้าสู่ร่างกายนักเตะ ทำให้เกมนี้เต็มไปด้วยจังหวะดุดันเกินปกติ 3 สิ่งที่ทำให้แดงเดือดต่างจากเกมอื่น พลังของแดงเดือดไม่เคยจาง และแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แฟนบอลทั้งสองฝั่งยังคงรอแมตช์นี้ด้วยใจเต้นแรง เกม แมนยู vs ลิเวอร์พูล ล่าสุด บอกอะไรกับแฟนบอล? แมตช์ล่าสุดของ แมนยู vs ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่ายังมีประกายความดุเดือดไม่ต่างจากอดีต…

  • หลังรีไทร์ แกรี่ เนวิลล์ ยังเป็นตำนานแมนยูในบทบาทไหน?

    แกรี่ เนวิลล์ทำอะไรหลังเลิกเล่น? หลังแขวนสตั๊ด ในยุคการคุมทีมของผู้ปั้นเขาขึ้นมาเป็นตำนานของทีม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เนวิลล์ไม่ได้หายตัวไปพักผ่อนยาว เขาก้าวเข้าสู่วงการสื่อแทบจะในทันทีด้วยการร่วมงานกับ Sky Sports ในฐานะนักวิเคราะห์ฟุตบอล การเริ่มต้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการเตรียมตัวที่ยาวนาน เขาเคยถูกสื่ออังกฤษยกให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่พูดชัด, วิเคราะห์คม และไม่กลัวที่จะวิจารณ์ใครแม้จะเป็นเพื่อนร่วมอาชีพก็ตาม การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วงการทีวี สิที่หลายคนไม่รู้คือ ระหว่างยังค้าแข้ง เนวิลล์มักใช้เวลาหลังซ้อมนั่งดูวิดีโอเกมย้อนหลัง พร้อมจดบันทึกข้อสังเกต เหมือนเป็นการซ้อมพูดและซ้อมวิเคราะห์แบบเงียบ ๆ จนติดเป็นนิสัย พฤติกรรมที่สะท้อนถึงความตั้งใจและแผนที่เขาวางไว้ก่อนจะแขวนเกือก ซึ่งเชื่อได้เลยว่า แฟนผีจำนวนน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าเขาสามารถทำบทบาทนี้ได้ดี จุดเปลี่ยนจากนักเตะสู่สื่อมืออาชีพ เขาเปิดตัวในฐานะคอมเมนเตเตอร์ด้วยน้ำเสียงมั่นใจและข้อมูลแน่น จนแฟนบอลบางคนถึงกับบอกว่า “เนวิลล์เป็นคนเดียวที่ทำให้การฟังวิเคราะห์หลังเกมสนุกพอ ๆ กับการดูเกมจริง” เนวิลล์วิเคราะห์เกม “เอล กลาซิโก้” ระหว่างเรอัล มาดริด กับบาร์เซโลนาในปี 2015 เขาเจาะลึกแท็กติกการเพรสซิ่งของบาร์ซ่าแบบเฟรมต่อเฟรม อธิบายว่าทำไมการเคลื่อนที่ของผู้เล่นเพียงหนึ่งคน ถึงสามารถบีบให้มาดริดเสียจังหวะทั้งทีมได้ พร้อมชี้ให้เห็นการแก้เกมของฝั่งตรงข้ามแบบที่คนดูทั่วไปอาจไม่ทันสังเกต ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เปิด “สมุดเพลย์บุ๊ก” ของโค้ชระดับโลกกลาง ได้เข้าใจวิถีการมองเกมให้ลึกขึ้นมากกว่าแค่จังหวะบอลเข้าประตู อย่างไรก็ตามแม้จะประสบความสำเร็จบนหน้าจอจนคนดูคุ้นชินกับบทบาทใหม่นี้ หัวใจของเนวิลล์ยังคงอยู่กับลูกฟุตบอล และมันพาเขาไปสู่บทบาทใหม่ที่นักฟุตบอลหลังเลิกเล่นพยายามเป็นคือ “เส้นทางโค้ช” บทบาทโค้ชที่ไม่สวยหรูของเนวิลล์ ปี 2012…

  • วิธีคิดแบบ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สูตรลับพาแมนยูสู่ยุครุ่งเรือง

    วิธีคุมทีมที่ไม่มีใครทำเหมือนของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เฟอร์กูสันใช้มากกว่าแท็กติกเพื่อคุมทีม แต่เขาสร้าง “วัฒนธรรม” ขึ้นในสโมสร ผ่านความเชื่อที่ว่า “จะสร้างทีมให้ประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มจากการสร้างคน” ทุกนักเตะต้องเข้าใจว่าพวกเขาเล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง เพื่อส่วนตัวต้องไม่มีในหัว ในขณะเดียวกัน เขารู้ว่าการดูแลจิตใจนักเตะก็สำคัญไม่แพ้การวางแผนเกม การเตรียมตัวก่อนศึกดาร์บี้ที่ไม่มีใครรู้ เฟอร์กูสันมีสายตาเฉียบคมในการเลือกนักเตะ เขามองหาความมุ่งมั่นและทัศนคติที่เข้ากับทีม มากกว่าการซื้อเพราะชื่อเสียง ต่อให้เป็นนักเตะดังแค่ไหน ถ้าไม่มีความทุ่มเท ก็ไม่มีที่ในทีม เช่นในเหตุการณ์ที่ เอริค คันโตน่า ถูกเฟอร์กูสันดึงมาจากลีดส์ ยูไนเต็ดในปี 1992 แม้ เดอะ คิงส์ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในตอนนั้น แต่เขามีบุคลิกเป็นผู้นำและทัศนคติที่กล้ารับผิดชอบเกมสำคัญ หรือ รอย คีน ที่ซื้อมาจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในปี 1993 ซึ่งไม่ใช่แข้งโปรไฟล์หรู แต่เฟอร์กูสันเห็นความเป็นนักสู้และหัวใจไม่ยอมแพ้ จนกลายเป็นกัปตันทีมที่พาแมนยูประสบความสำเร็จหลายสมัย การใช้ “Hairdryer Treatment” อย่างมีจังหวะ การตะโกนใส่นักเตะจากระยะประชิดหรือ “Hairdryer Treatment” กลับกลายมาเป็นเครื่องมือที่เฟอร์กูสันใช้กดดันนักเตะบางคนเมื่อจำเป็น แต่เขาไม่ใช้พร่ำเพรื่อ เพราะทุกครั้งที่ทำคือการส่งสัญญาณบอกนักเตะว่า “ถึงเวลาเอ็งจริงจังในทุกจังหวะของเกมได้แล้ว” เช่นเหตุการณ์หลังเกมเอฟเอคัพรอบสี่ ปี 2003 ที่…