
SIR alex
ferguson
ไม่มีชื่อไหนในวงการฟุตบอลที่จะถูกเชื่อมโยงกับคำว่า “ความยิ่งใหญ่” ได้ดีเท่ากับชื่อนี้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อีกแล้ว กับกุนซือผู้สร้างยุคทองให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จนกลายเป็น ผู้จัดการทีมตำนานแมนยู ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ และไม่มีใครแทนได้ตั้งแต่เขาลงจากตำแหน่ง
ด้วยจำนวนแชมป์ที่มากมายที่เขาคว้ามาให้ทีม วิธีการบริหารทีมที่ผสมผสานระหว่างความเข้มงวดและศิลปะในการจัดการคนอย่างแยบคาย สิ่งเหล่านี้ยกให้เขาเป็นมากกว่าแค่คำว่าโค้ชฟุตบอล แต่เป็นผู้นำที่เปลี่ยนสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปตลอดกาล บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเคล็ดลับที่แท้จริง พร้อมเกร็ดที่แฟนบอลทั่วไปไม่เคยรู้
วิธีคุมทีมที่ไม่มีใครทำเหมือนของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
เฟอร์กูสันใช้มากกว่าแท็กติกเพื่อคุมทีม แต่เขาสร้าง “วัฒนธรรม” ขึ้นในสโมสร ผ่านความเชื่อที่ว่า “จะสร้างทีมให้ประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มจากการสร้างคน” ทุกนักเตะต้องเข้าใจว่าพวกเขาเล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง เพื่อส่วนตัวต้องไม่มีในหัว ในขณะเดียวกัน เขารู้ว่าการดูแลจิตใจนักเตะก็สำคัญไม่แพ้การวางแผนเกม
การเตรียมตัวก่อนศึกดาร์บี้ที่ไม่มีใครรู้
เฟอร์กูสันมีสายตาเฉียบคมในการเลือกนักเตะ เขามองหาความมุ่งมั่นและทัศนคติที่เข้ากับทีม มากกว่าการซื้อเพราะชื่อเสียง ต่อให้เป็นนักเตะดังแค่ไหน ถ้าไม่มีความทุ่มเท ก็ไม่มีที่ในทีม เช่นในเหตุการณ์ที่ เอริค คันโตน่า ถูกเฟอร์กูสันดึงมาจากลีดส์ ยูไนเต็ดในปี 1992 แม้ เดอะ คิงส์ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในตอนนั้น แต่เขามีบุคลิกเป็นผู้นำและทัศนคติที่กล้ารับผิดชอบเกมสำคัญ หรือ รอย คีน ที่ซื้อมาจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในปี 1993 ซึ่งไม่ใช่แข้งโปรไฟล์หรู แต่เฟอร์กูสันเห็นความเป็นนักสู้และหัวใจไม่ยอมแพ้ จนกลายเป็นกัปตันทีมที่พาแมนยูประสบความสำเร็จหลายสมัย

การใช้ “Hairdryer Treatment” อย่างมีจังหวะ
การตะโกนใส่นักเตะจากระยะประชิดหรือ “Hairdryer Treatment” กลับกลายมาเป็นเครื่องมือที่เฟอร์กูสันใช้กดดันนักเตะบางคนเมื่อจำเป็น แต่เขาไม่ใช้พร่ำเพรื่อ เพราะทุกครั้งที่ทำคือการส่งสัญญาณบอกนักเตะว่า “ถึงเวลาเอ็งจริงจังในทุกจังหวะของเกมได้แล้ว”
เช่นเหตุการณ์หลังเกมเอฟเอคัพรอบสี่ ปี 2003 ที่ เดวิด เบ็คแฮม เล่นผิดพลาดจนทีมเสียประตู เฟอร์กูสันใช้ “Hairdryer Treatment” จนบรรยากาศในห้องแต่งตัวตึงเครียดถึงขีดสุด เป็นที่มาของโมเมนต์ “สตั๊ดบิน” โดนคิ้วของเบ็คแฮมจนต้องเย็บ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ดูรุนแรงแต่สำหรับเฟอร์กูสัน มันคือการย้ำว่านักเตะทุกคนต้องรับผิดชอบต่อทีมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าคุณจะเป็นซูเปอร์สตาร์แค่ไหน
เมื่อกลยุทธ์การคุมทีมจะเป็นหัวใจหลัก ทว่าเฟอร์กูสันยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ นั่นคือการสร้างแรงกระตุ้นให้ทีมสู้จนวินาทีสุดท้าย ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จหลายครั้งในสถานการณ์ที่คนอื่นมองว่าไม่มีทาง
เฟอร์กูสันสร้างวินัยและแรงกระตุ้นให้ทีมอย่างไร?
ความสำเร็จของเฟอร์กูสันหลัก ๆ เลยคือการสร้างกฎที่ชัดเจนและเข้มงวด ทุกคนต้องมาตรงเวลา ต้องฟิต ต้องให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมทีมและสโมสร ไปดูกันกับกฎเหล็กที่ป๋าตั้งไว้ นักเตะในทีมต้องจำให้ขึ้นใจ
3 กฎเหล็กที่ไม่มีข้อยกเว้น
- ไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร – ต่อให้เป็นซูเปอร์สตาร์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎ
- ความฟิตคือหัวใจ – ใครไม่ฟิต ไม่มีสิทธิ์ลงสนาม
- เคารพเพื่อนร่วมทีม – ความสามัคคีคือกำแพงเหล็กของสโมสร
ใช้คู่แข่งเป็นเชื้อเพลิงทางจิตวิทยา
เฟอร์กูสันมักจะนำคำวิจารณ์จากสื่อหรือคู่แข่งมาปลุกไฟในทีม เขารู้ว่าความโกรธและความท้าทายสามารถเปลี่ยนเป็นพลังบวกได้ หากใช้ให้ถูกจังหวะ วินัยและแรงกระตุ้นเป็นรากฐาน แต่ความเป็นตำนานของเขายังมาจากการตัดสินใจในแมตช์สำคัญ ซึ่งเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ในพริบตา
ตัวอย่างชัดเจนในฤดูกาล 1995/96 เมื่อ อลัน แฮนเซ่น อดีตกองหลังลิเวอร์พูลวิจารณ์แมนยูว่า “You can’t win anything with kids” หลังพ่ายเปิดซีซั่น เฟอร์กูสันเอาประโยคนี้มาติดในห้องแต่งตัวเป็นแรงกระตุ้น จนทีมชุดเด็กอย่างคลาส 92 พลิกสถานการณ์ คว้าดับเบิลแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียว

แมตช์สำคัญพิสูจน์ฝีมือของเฟอร์กี้
ในเส้นทางของป๋าเฟอร์กี้มากมายหลายเกมที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ ยิงนาทีสุดท้ายเพื่อชนะ ซัดประตูนาทีบาป หรือจังหวะมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดคิด แมนยูยุคป๋านั้นมีหมด ยิ่งในเกมนี้ที่แฟนผีไม่มีวันลืมกับเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกปี 1999 ที่พลิกกลับมาชนะบาเยิร์น มิวนิค 2-1 ในช่วงทดเวลา เฟอร์กูสันแสดงให้เห็นถึงการอ่านเกมและการเปลี่ยนตัวที่เฉียบขาด ไปจนถึงเรื่องโชคที่บางครั้งก็ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในสนาม

การเปลี่ยนตัวทองคำในค่ำคืนที่คัมป์นู
การตัดสินใจของเซอร์อเล็กซ์ในการส่ง โอเล กุนนาร์ โซลชา และ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ลงสนามในเกมที่โดนนำอยู่ 1-0 ใครเห็นก็อาจประเมินแค่ว่าเพิ่มตัวรุกปกติวิสัยของโค้ชทีมที่โดนนำ แต่ผลลัพธ์กลับมากกว่านั้น เพราะมันเปลี่ยนสมการไปเลยทั้งเกม แรงกดดันที่บีบคั้นจากบาเยิร์น มิวนิคเริ่มถูกคลายออก เพราะสองกองหน้าที่มีสไตล์เข้ามาเติมเต็มให้กับทีมกำลังโดนทุบหนัก ๆ ให้กลับมาโงหัวขึ้นได้ “น้าหมี” เชอริงแฮม ใช้ความเก๋าในการหาพื้นที่และพักบอล ขณะที่โซลชา อาศัยความไวและสัญชาตญาณการจบสกอร์ ทำให้เกมรุกของแมนยูพลิกจากการพยายามเข้าทำแบบไร้ทิศทาง มาเป็นการโจมตีที่มีความหวัง ทุกการสัมผัสบอลของทั้งคู่เหมือนปลุกให้เพื่อนร่วมทีมเชื่อว่าประตูยังอยู่ใกล้แค่เอื้อม
และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากลงสนาม แรงกดดันนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่เกินจะเชื่อ เชอริงแฮมตามซ้ำบอลจนเป็นประตูตีเสมอ ก่อนไม่กี่วินาทีที่โซลชาจะสอดขึ้นมาซัดประตูชัยในช่วงทดเจ็บ ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ช่วงเวลาที่ว่านี้แหละคือการสร้างตำนานที่ถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ของโลกฟุตบอลและแฟนผีไม่มีวันลืมได้
แมตช์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างชื่อเสียง แต่ยังย้ำให้โลกเห็นว่าเฟอร์กูสันมีทั้งแท็กติกและหัวใจนักสู้ในคนเดียวกัน
ความสำเร็จและจำนวนแชมป์ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในฐานะกุนซือแมนยู
ตลอด 26 ปีในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เฟอร์กูสันคว้าแชมป์ถึง 38 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย แต่ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราว พร้อมกับเป็นคนปลุกปั้นตำนานให้กับวงการฟุตบอลมากมายไม่ว่าจะเป็น เวย์น รูนี่ย์ , เอริก คันโตนา, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และอีกหลายคนมากมาย

ชีวิตหลังสนามของเฟอร์กี้
หลังจากวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2013 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังคงมีบทบาทในฐานะ ผู้อำนวยการและทูตสโมสร คอยให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารและผู้จัดการทีมรุ่นหลัง นอกจากนี้ เขายังทำงานด้านการกุศล เขียนหนังสือ ถ่ายทอดประสบการณ์การคุมทีมในเวทีสัมมนาทั่วโลก และยังคงเป็นบุคคลที่แฟนบอลให้ความเคารพในฐานะสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของสโมสร
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เป็นแค่ ผู้จัดการทีมตำนานแมนยู เพราะจำนวนแชมป์ที่ได้ (เซอร์ อ เล็ก ซ์ เฟอร์ กู สัน ได้ กี่ แชมป์) แต่เพราะเขาสร้างวัฒนธรรมที่ยากจะทำลาย วางรากฐานความสำเร็จทั้งในสนามและนอกสนาม และปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งชัยชนะในหัวใจนักเตะแต่ละคน คำถามคือ…โลกฟุตบอลจะได้เห็นผู้นำที่ครบเครื่องแบบป๋าเฟอร์กี้คนนี้อีกหรือไม่?
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.